วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ทีมฝรั่งเศสชนะเลิศแข่งขันเบรคแดนซ์แห่งปี

ปัจจุบันการเต้นเบรคแดนซ์ในวัฒนธรรมฮิปฮอปกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีเวทีแข่งขันเพื่อประชันความสามารถ โดยการแข่งขันเบรคแดนซ์แห่งปีหรือ Battle of the Year เป็นรายการที่น่าจับตามากที่สุด ซึ่งปีนี้ทีมจากประเทศฝรั่งเศสคว้าชัยชนะเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน
จังหวะดนตรีเร้าใจประกอบลีลาการเต้นแบบ Power Move ที่หมุนตัวกลางอากาศ ใช้เพียงมือ และศีรษะรับน้ำหนักตัว เรียกเสียงปรบมือจากผู้ชมทั่วสนามแข่ง ขึ้นชื่อว่าเป็นท่ายากเพราะต้องใช้พละกำลังทั้งคอ หัวไหล่ แขนและขา ก็พอพิสูจน์ความสามารถของทีม Vagabound จากประเทศเจ้าภาพฝรั่งเศส และส่งให้พวกเขาคว้ารางวัลชนะเลิศเหนือทีมคู่แข่ง Flooriorz จากญี่ปุ่น ในการดวลกันรอบสุดท้ายของการแข่งขันแบรคแดนซ์แห่งปี หรือ Battle of the Year ที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะติดต่อกันเป็นครั้งที่ 2 ของทีม

Battle of the Year หรือ BOTY ได้ชื่อว่าเป็นการแข่งขันเบรคแดนซ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปี จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1990 ที่ประเทศเยอรมนี โดยในปีหน้าจะกลับไปจัดที่ประเทศเยอรมนีอีกครั้ง หลังจากจัดในประเทศฝรั่งเศสมาแล้วถึง 3 ปีติดต่อกัน แม้ถูกมองว่าเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่ม หาก Battle of the Year ก็เป็นพื้นที่ให้วัยรุ่นได้ทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์ เช่น ในภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Plenet B-Boy ที่ถ่ายทอดมุมมองของผู้เข้าเเข่งขันในรายการ Battle of the Year ว่าเป็นพื้นที่ให้วัยรุ่นที่รักในการเต้นเหมือนกันได้มารวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกัน

บีบอยหรือการเต้นเบรคแดนซ์ เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมฮิปฮอปในกลุ่มวัยรุ่นแอฟริกัน-อเมริกัน และละตินอเมริกันในมหานครนิวยอร์ค เริ่มเป็นที่นิยมในปี 1970 และแพร่หลายไปทั่วทุกมุมโลก โดยเฉพาะในเกาหลีใต้ ฝรั่งเศส รัสเซีย บราซิลและญี่ปุ่น ในประเทศไทยมีการจัดการแข่งขันเบรคเเดนซ์ระดับชาติเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2546 และเคยมีทีมผ่านเข้ารอบสุดท้ายของการแข่งขัน Battle of the Year ถึง 2 ครั้ง คือทีม Ground Scatter Crew ในปี 2006 และ 2007 และทีม One Piece UD Town ในปี 2011

วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประโยชน์ของกระเจี๊ยบแดง

กระเจี๊ยบแดง มีรสเปรี้ยว นำมาต้มกับน้ำ เติมน้ำตาล ดื่มแก้ร้อนใน กระหายน้ำ และช่วยป้องกันการจับตัวของไขมันในเส้นเลือดได้ และยังนำมาทำขนมเยลลี่ แยม หรือใช้เป็นสารแต่งสี ใบอ่อนของกระเจี๊ยบเป็นผักได้ หรือใช้แกงส้ม รสเปรี้ยวกำลังดี กระเจี๊ยบเปรี้ยวมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า "ส้มพอเหมาะ" ในใบมี วิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา ส่วนกลีบเลี้ยงและกลีบดอก มีสารแคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง น้ำกระเจี๊ยบแดงที่ได้สีแดงเข้ม สาร Anthocyanin นำไปแต่งสีอาหารตามต้องการ

ดินแดนแคว้นโพรวองซ์

       ได้ยินคำร่ำลือมานักว่าจำนวนนักท่องเที่ยวในดินแดนอันเลื่องชื่อทางตอนใต้ของฝรั่งเศสอย่างแคว้นโพรวองซ์นั้นผันไปตามสภาพอากาศในฤดูกาลท่องเที่ยวช่วงที่ดอกลาเวนเดอร์บานสะพรั่งเป็นทิวยาวสุดตาและอากาศเหมาะแก่การชมทุ่งสีม่วงยังมีเมืองเล็กๆ มีหมู่บ้านตามชนบท ในขุนเขา โพรวองซ์ขึ้นชื่อเรื่องไวน์ดี อาหารอร่อย มีอารยธรรมเก่าแก่ยุคโรมัน
หากต้องการมาท่องเที่ยวชมวิถีชีวิตชนบทของฝรั่งเศส ที่โพรวองซ์มาได้ที่ Le Musee de la Lavande เลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากลาเวนเดอร์ เทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ ชมขั้นตอนการปลูก ไปจนถึงเก็บเกี่ยวด้วยรถ จนนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย จนทราบว่าลาเวนเดอร์แท้นั้น มีลักษณะดอกเดี่ยว ส่วนอีกสายพันธุ์หนึ่ง ชื่อว่า ลาเวนดี้ จะมีลักษณะช่อหนึ่ง แตกออกเป็น 3 ก้าน มีกลิ่นฉุนกว่าลาเวนเดอร์ ซึ่งลาเวนดี้นั้นจะขึ้นง่าย โตเร็วกว่า ชาวบ้านจึงนิยมนำไปปลูกประดับบ้าน  นอกจากนั้นยังมีโอกาสไปเยี่ยมชม โบสถ์แอ็บบีเดอซีนอคค์ (Abbaye de Senanque) ที่มีทุ่งดอกลาเวนเดอร์สีม่วง ปลูกเป็นแปลงสวยงามอยู่ด้านหน้า ซึ่งทุ่งดอกลาเวนเดอร์แห่งนี้จะบานสะพรั่งตั้งแต่เดือนมิถุนายนไปจนถึงเดือนกรกฎาคม ทั้งหมดก็จะถูกเก็บเกี่ยวในวันชาติของประเทศฝรั่งเศส
ส่วนคำว่า "ลาเวนเดอร์" นั้นมาจากภาษาละติน "lavare" หมายถึง "ชำระล้าง" ซึ่งว่ากันว่าคนสมัยก่อนก็นิยมใช้พืชหอมสารพัดประโยชน์ชนิดนี้อย่างแพร่หลาย ในช่วงที่มีโรคติดต่อระบาดในกลุ่มชาวเปอร์เซียน กรีก และโรมัน พวกเขาจะนำกิ่งก้านของดอกลาเวนเดอร์มาเผาไฟ เพื่อป้องกันโรคติดต่อ และโรคระบาด

มารู้จัก ''กะหล่ำปลีม่วง'' กันเถอะ

       กะหล่ำปลีม่วงที่มีสีสันสดใสชวนกิน ซึ่งมักพบบ่อยในจานสลัด แต่ใครจะรู้บ้างว่ากะหล่ำปลีสีสวยนี้จะมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายของเราเป็นอย่างมาก
เนื่องจากกะหล่ำปลีม่วงเป็นพืชที่มีใยอาหารสูงและล้วนอุดมไปด้วยสารอาหารหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นโปรตีน คาร์โบไฮเดรต โซเดียม และวิตามินซี นอกจากนี้การกินกะหล่ำปลีม่วงอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และโรคมะเร็งในช่องท้องได้ อีกทั้งยังอุดมไปด้วยธาตุเหล็กที่ช่วยเสริมสร้างฮีโมโกลบินซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้มีเม็ดเลือดแดงไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย
 อย่างไรก็ตามในแต่ละวันเราไม่ควรกินกะหล่ำปลีดิบมากเกิน 1-2 กิโลกรัม เพราะถ้ามีสาร Goitrogen จากกะหล่ำปลีสะสมในร่างกายมากเกินไป อาจส่งผลให้ต่อมไทรอยด์นำไอโอดีนในเลือดไปใช้ได้น้อยลง แต่สารนี้จะหายไปเมื่อกะหล่ำปลีนั้นสุกแล้ว

วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การดูแลผิวพรรณให้ชุ่มชื้นสดใส

    ผิวที่สัมผัสกับอากาศเย็น ทั้งจากลมหนาวหรือจากเครื่องปรับอากาศ มักจะเกิดปัญหาผิวที่แห้งแตกไม่ชุ่มชื่น นอกจากการบำรุงผิวทุกวันด้วยโลชั่นซึ่งเป็นการดูแลจากภายนอกแล้ว การสร้างความชุ่มชื่นสดใสให้ผิวพรรณจากภายในก็เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งวิธีที่ดีที่สุดคือ การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณนั่นเอง
o   รับประทานปลาที่มีไขมันสูงอย่างแซลมอน ให้กรดไขมันโอเมก้า 3 ทำให้ผนังเซลล์ผิวหนังแข็งแรง
o    เลือกของว่างเป็นอัลมอนด์ เพราะมีกรดไขมันโอเมก้า 3 โปรตีนที่จำเป็นต่อการสร้างเซลล์ ผิว และวิตามินอี ซึ่งเป็นสาร anti-oxidant ช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ และที่สำคัญอัลมอนด์อบแบบ Natural (ไม่ปรุงรสต่าง) ยังทำให้ไม่อ้วนด้วย
o    กินผักให้หลากสี เช่น ฟักทองสีเหลือง แครอทสีส้ม ผักโขมสีเขียว พริกหวานสีแดง ล้วน อุดมด้วยแคโรทีนที่ดีต่อผิว
o    ไขมันนั้นจำเป็น ส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้ผิวหนังของเราชุ่มชื่นคือ ไขมัน เพราะฉะนั้น ไม่ควรเลี่ยงการใช้น้ำมันปรุงอาหาร โดยเลือกใช้น้ำมันพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมัน มะกอก น้ำมันดอกทานตะวัน ให้ไขมันจำเป็นแก่ผิว ทำให้เซลล์มีความยืดหยุ่น และช่วย ให้ร่างกายดูดซึมวิตามินเอและอีได้ดีขึ้น
o    ดื่มนมไขมันต่ำ โยเกิร์ต ชีส เพราะนมอุดมด้วยวิตามินเอที่จำเป็นต่อสุขภาพผิว แบคทีเรีย ในโยเกิร์ตที่ดีต่อลำไส้และผิว 
o    โฮลเกรนมีประโยชน์เสมอ มีซีลีเนียมช่วยควบคุมความเสียหายของเซลล์ผิว 
o    ไข่ มีโปรตีนช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหายจากอนุมูลอิสระ และยังมีไบโอตินช่วยปกป้อง ผิวแห้งด้วย
o    ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง อย่างส้ม มะนาว ฝรั่ง ช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวี และสร้างคอลลาเจนที่จำเป็นแก่ผิวพรรณ
      นอกจากอาหารเหล่านี้แล้ว อย่าลืมค่ะว่าควรพักผ่อนด้วยการนอนหลับสนิทอย่างเพียงพอ ให้ได้วันละ 6-8 ชั่วโมง ออกกำลังกายครั้งละอย่างน้อย 30 นาทีให้ได้ 3 วันต่อสัปดาห์ ขับถ่ายเป็นประจำทุกวัน และดื่มน้ำสะอาด

วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

นักเต้นฮิปฮอปชาวฝรั่งเศสใช้การเต้นสื่อสารเรื่องราวชาวผิวสี

ในอดีตจังหวะดนตรีเร้าใจผสานท่าเต้นอย่างอิสระที่เป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมฮิปฮอปซึ่งเกิดจากการสร้างสรรค์ของนักเต้นผิวสี อาจถูกจำกัดว่าเป็นการเต้นบนท้องถนน และวัยรุ่นเท่านั้น แต่นักเต้นชาวฝรั่งเศสคู่หนึ่งได้ใช้การเต้นชนิดนี้ สื่อสารเรื่องราวของชาวผิวสีผ่านการแสดงร่วมสมัยจนได้รับการยอมรับผสานท่าเต้นบนพื้นแบบ Downrock ของฮิปฮอปจากท้องถนนในกรุงปารีส เข้ากับท่วงท่าแบบคลาสสิกแบบบัลเลต์ คือเอกลักษณ์ของการแสดงชุด “Vis-a-vis” ซึ่งไม่เพียงดูแปลกตากว่าการเต้นร่วมสมัยแบบอื่น ยังสะท้อนความพยายามของกลารีส โวซ์ และ อับดู แอนกงม์ ศิลปินชาวฝรั่งเศสเชื้อสายเซเนกัลที่ประยุกต์การเต้นจากวัฒนธรรมที่เขาเติบโตมาให้ถูกยอมรับ ในฐานะการแสดงศิลปะเทียบเท่ากับการเต้นอย่างบัลเลต์ และก่อตั้งคณะสตีลิสติก เพื่อทุ่มเทคิดค้นการถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึก และเรื่องราวผ่านการเต้นฮิปฮอปแนวใหม่
กลารีส โวซ์ นักเต้นจากคณะสตีลิสติก กล่าวว่า นักเต้นฮิปฮอปแต่ละคนจะพัฒนาท่าจากคนที่มาเต้นประชันกัน แต่เธอ และอับดูคิดท่าเต้นจากเรื่องราว และความรู้สึกที่ต้องการสื่อ โดยใส่การเต้นคู่และสัมผัสกันอันเป็นท่วงท่าคลาสสิกของบัลเลต์ และการเต้นสมัยใหม่เข้าไป พร้อมอารมณ์ที่แสดงออกผ่านสีหน้า และมีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัยอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้การแสดงแต่ละชุดยังคงมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ
ท่วงท่าที่ไม่มีรูปแบบ และกฏเกณฑ์ที่แน่นอนแต่สื่ออารมณ์นักเต้นได้อย่างชัดเจน ทั้งยังมีที่มาจากวัฒนธรรมคนผิวสีคือ จุดเด่นของการเต้นแนวฮิปฮอปที่ อับดู แอนกงม์ เลือกใช้เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์การชีวิตในสังคมที่ยังคงมีการเหยียดผิว และการแบ่งแยกเชื้อชาติอยู่ ความรู้สึกสับสน ความยากลำบาก และการค้นหาตัวตน ของการอยู่ตรงกลางระหว่าง 2 เชื้อชาติ 2 วัฒนธรรม ถูกถ่ายทอดอย่างลึกซึ้งผ่านการแสดงเดี่ยว “Entre deux”
อับดู แอนกงม์ นักเต้นจากคณะสตีลิสติก กล่าวว่า “Entre deux” บอกเล่าเกี่ยวกับตัวตนของเขา รวมถึงความยากลำบากในการเป็นคนผิวสีที่ต้องอาศัยอยู่ในประเทศที่ไม่ใช่บ้านเกิด และสิ่งสำคัญที่เขาต้องการสื่อคือ การเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้าหาสังคมโดยไม่ละทิ้งตัวตนที่แท้จริงของแต่ละคนไป
แคลร์ คีฟ ผู้อำนวยการสมาคมฝรั่งเศสกรุงเทพฯ กล่าวว่า ฮิปฮอปอาจดูสมัยใหม่ และนอกกรอบเกินไปสำหรับคนรุ่นก่อน แต่การแสดงนี้ทำให้เห็นว่าฮิปฮอปก็สามารถสื่อสารผ่านท่วงท่าที่อ่อนช้อย งดงามได้เช่นกัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นการนำเสนอการแสดงของฝรั่งเศสยุคใหม่ได้ดีทีเดียว  คณะสตีลิสติก ได้ตระเวนออกแสดงทั่วประเทศฝรั่งเศส ก่อนจะมาเปิดการแสดงที่ทวีปเอเชียเป็นครั้งแรกในประเทศไทย หลังเสร็จสิ้นการแสดงที่กรุงเทพฯ คณะสตีลิสติกได้เดินสายไปเปิดการแสดงฮิปฮอปร่วมสมัยกับนักเต้นชาวลาวในชุด Same Same ที่ประเทศลาว และเวียดนามต่อไป

วัชพืชช่วยลดความอยากบุหรี่ “หญ้าดอกขาว”

ไม่น่าเชื่อว่าวัชพืช ที่พบได้ทั่วไปตามทุ่งหญ้า หรือข้างถนน ที่คนส่วนใหญ่มองข้าม แต่มันกลับมีประโยชน์ต่อร่างกายแบบคาดไม่ถึง นายแพทย์ สมชัย นิจพานิช อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เผยถึงประโยชน์ของ หญ้าดอกขาวว่าจากการวิจัยนั้นหญ้าดังกล่าวมีสรรพคุณช่วยลดอาการอยากสูบบุหรี่ และยังมีสารที่ช่วยดูดสารพิษออกจากปอดได้อีกด้วย หญ้าดอกขาวเป็นไม้ล้มลุกจำพวกหญ้า มีดอกสีขาวโคนเป็นสีชมพู มีขึ่นกระจายทั่วไปตามที่รกร้างข้างทาง พบได้ง่ายทั่วทุกภาคของประเทศไทย ซึ่งคนส่วนใหญ่จะพบเห็นเป็นประจำ
ส่วนวิธีการนำหญ้าดอกขาวมาผลิตเป็นยานั้น ก็สามารถทำได้ง่ายๆ เนื่องจากหญ้าดอกขาวเราสามารถหาได้ทั่วไป นำมาประมาณ 1 กำมือ แล้วนำไปล้างน้ำให้สะอาด เด็ดใบเสีย หรือเหี่ยวเน่าทิ้งไป แล้วนำใส่หม้อต้มน้ำ เติมน้ำให้ท่วม ตั้งไฟทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วนำน้ำที่ได้มาดื่ม สามารถดื่มแทนน้ำเปล่าโดยค่อยๆ จิบ หรือจะดื่มเป็นมื้อๆ ก็ได้ มื้อละ 1 แก้ว ทั้งนี้ หญ้า 1 กำมือสามารถต้มซ้ำกันได้ 3 ครั้ง ไม่ควรเกินนี้ เพราะอาจจะทำให้เกิดสารพิษสะสมในร่างกายได้ ส่วนระยะเวลาในการเห็นผล อาจจะต้องใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ จะรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน เนื่องจากตัวยาใน หญ้าดอกขาวนั้นจะไปเคลือบที่ต่อมรับรสของลิ้น ทำให้เวลาสูบบุหรี่ จะไม่รู้รส หรือรู้สึกฝาดๆ ลิ้นทำให้การอยากสูบบุหรี่ลดลงตามนั้นเอง นอกจากนี้การดื่มน้ำที่ต้มจากหญ้าดอกขาวยังสามารถใช้ทานแก้ปวดท้อง, ท้องขึ้นได้อีกด้วย
ทั้งนี้ นพ.สมชัย ยังกล่าวอีกว่า การทานสมุนไพร หรือตัวยาทุกชนิด ถ้าทานติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ย่อมมีสารตกค้างอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น ควรสับเปลี่ยนหมุนเวียนการทานยาสมุนไพรด้วย นอกจากจะได้สรรพคุณตัวยาหลายขนานแล้ว ยังได้สุขภาพที่ดีอีกด้วยซึ่งขณะนี้ ทางกรมการพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้ทำการวิจัย และคาดว่าจะผลิตตัวยานี้ออกสู่ตลาดเร็วๆ นี้ โดยตัวยาจะผลิตเป็นแผ่นฟิล์มละลายในปาก ทั้งนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของการวิจัย